1.การเรียนต้องมีจุดประสงค์ในการเรียน (จุดมุ่งหมายในการเรียน)
2.อ่านใจความสำคัญ - จุดประสงค์การเรียนรู้ - การทดลอง - สรุปผล ตามลำดับ ( มองจากมุมสูง )
3.ทำความเข้าใจในบทเรียนที่ยังไม่เข้าใจก่อน อย่าเพิ่งข้ามขั้น(โดยตั้งข้อสงสัยเป็นข้อๆนำไปถามครูก็ได้) 4.ทำสมุดจดคำศัพท์ หรือ สูตรทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเก็บไว้อ่านและท่องจำก่อนสอบ
5.อ่านขั้นตอนที่เข้าใจง่ายก่อน (วิชาวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนเสมอไป)
6.ฝึกยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนขึ้นมาอยู่เสมอเพื่อความแน่ใจว่าเรารู้ชัดแจ้งเห็นจริงกับเรื่องนั้นๆแล้ว 7.การเตรียมตัวก่อนเรียนเป็นสิ่งสำคัญ (ค้นหาสิ่งที่อยากรู้ และสิ่งที่ไม่รู้แล้วจดลงสมุด เพื่อความเข้าใจ)
8.ทบทวนบทเรียน โดยการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันมาเชื่อมโยงกัน
9.การเรียนรู้จากสิ่งที่เราสนใจก่อน สมองจะจดจำเนื้อหาเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ
10.ลองนำคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อฝึกให้ชินกับคำศัพท์นั้นๆ
11.รู้ที่มาของชื่อนั้นๆอย่างละเอียดเพราะทำให้ตอบปัญหาวิทยาศาสตร์และเข้าใจคำอธิบายยากได้ง่าย
12.การใส่วงเล็บไว้ที่เนื้อหาสำคัญหรือใช้สัญลักษณ์เน้นให้เห็นชัดเจนขึ้นจะช่วยให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น
13.เรียนรู้สิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกันพร้อมกัน เพื่อช่วยประหยัดเวลาไว้ศึกษาเรื่องอื่นที่ยังไม่เข้าใจ
14.หน่วยและสัญลักษณ์ในวิชาวิทยาศาสตร์สำคัญมากต้องพยายามจำหน่วยและสัญลักษณ์นั้นอย่างดี
15.เรียนรู้เพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือถ้าเรารู้ว่าทิศใดคือทิศเหนือ ทิศที่เหลือก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
16.สร้างแผนผังความคิด (เป็นรูปแบบพิเศษที่ช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาที่เรียนได้เป็นเวลานานขึ้น)
17.หมั่นทบทวนสิ่งที่เรียนมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความจำนั้นให้อยู่อย่างมั่งคง
18.สละเวลาเพียงเล็กน้อย เพื่อหาจุดสำคัญที่เรายังไม่เข้าใจ แล้วจึงค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
19.รู้จักผ่อนคลายความเครียดหลังจากใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับหนังสือมานานโดยการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อก็ได้ 20.ไม่ควรรู้อะไรเพียงแค่ผิวเผิน เพราะอาจจะทำให้ทำข้อสอบผิดได้ (ไม่มีใครรู้จักตัวเราเท่าตัวเราเอง)
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554
สถานที่น่าเที่ยวในภูเก็ต
หาดสุรินทร์ อยู่ห่างจากตัวเมือง 24 กิโลเมตร ไปตามถนนเทพกระษัตรีย์ถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร แล้วเลี้ยวซ้ายไป 12 กิโลเมตรเป็นหาดที่เงียบสงบอยู่ริมเชิงเขา มีต้นสนทะเลเรียงรายอยู่บริเวณเหนือหาด ทางด้านขวาเป็นที่ตั่งสนามกอล์ฟที่เก่าแก่ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 หาดสุรินทร์ เป็นหาดที่มีความลาดชันมาก ในช่วงฤดูมรสุมมีคลื่นลมแรงไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ
แหลมสิงห์ อยู่ถัดจากหาดสุรินทร์ไปเพียง 1 กิโลเมตรจะมีทางแยกทางด้านขวาเข้าสู่แหลมสิงห์ เป็นหาดเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ทรายขาวสะอาดมีโขดหินสวยงาม
อุทยานแห่งชาติสิรินาถ (หาดในยาง) ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2524 อยู่ห่างจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร ตามเส้นทางถนนเทพกระษัตรี ผ่านสี่แยกอำเภอถลาง ตรงไปเมื่อถึงหลักกิโลเมตร 21 - 22 จะมีทางแยกด้านซ้ายเข้าไป 10 กิโลเมตร หรือจะไปทางแยกเข้าสนามบินเลี้ยวซ้าย 2 กิโลเมตรครอบคลุมเนื้อที่ 90 ตารางกิโลเมตร หรือ 56,250 ไร่ เป็นหาดทรายที่มีความยาวต่อเนื่องกันถึง 13 กม. โดยเริ่มจาก หาดในทอน ไปตามเส้นทางไปอุทยานแห่งชาติเลี้ยวซ้ายที่หลักกิโลเมตร 21-22 เมื่อถึงทางแยกเข้าบ้านสาคู เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงหาดในทอน
หาดในทอน เป็นเวิ้งอ่าวที่งามแปลกตากทอดโค้งจากตัวเกาะเป็นที่กำบังคลื่นลมได้อย่างดี และเป็นหาดที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการเล่นน้ำ
หาดในยาง เป็นที่ตั้งทำการอุทยานฯ เป็นหาดที่มีสวนสนร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนและเล่นน้ำ นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังขนาดใหญ่เป็นที่อาศัยของสัตว์ทะเลนานาชนิดโดยเฉพาะเต่าทะเลซึ่งจะขึ้นมาวางไข่บนหาด ราวเดือนพฤศจิกายนถึง กุมภาพันธ์ แต่ปัจจุบันเต่าทะเลมีจำนวนลดลงมาก จนแทบจะไม่เห็นเต่าขึ้นมาวางไข่อีกเลย
หาดไม้ขาว ไปตามเส้นทางถนนเทพกระษัตรีผ่านทางแขกเข้าสนามบิน ตรงไปทางสะพานสารสินจะมีทางแยกด้านซ้ายมือมีป้ายบอกทางเข้า หาดไม้ขาวเลี้ยวซ้ายไป 3.5 กิโลเมตร ก็จะถึงหาดไม้ขาว ซึ่งเป็นหาดที่มีจั๊กจั่นทะเลและเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ แต่ปัจจุบันจำนวนลดลงมากเช่นเดียวกับหาดในยาง
หาดทรายแก้ว เป็นหาดทรายขาวทอดยาวขนานกับทิวต้นสน อยู่ถัดจากหาดไม้ขาวไปจนถึงสะพานสารสินนับเป็นหาดที่อยู่เหนือสุดของเกาะภูเก็ต
วัดพระนางสร้าง อยู่ห่างจากตัวเมือง 20 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางถนนเทพกระษัตรี ถึงสี่แยกอำเภอถลาง ตั้งอยู่ทางด้านซ้าย เป็นวัดที่เก่าแก่และเป็นแหล่งประวัติศาสตร์เมืองถลางที่สำคัญแห่งหนึ่ง เพราะเคยเป็นค่ายสู้รบกับพม่าเมื่อปี พ.ศ. 2328 นอกจากนี้ภายไปอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดีบุก ที่ เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก 3 องค์ เรียกว่า "พระในพุง" หรือ "พระสามกษัตริย์" ซึ่งอยู่ในพระอุทรของพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ 3 องค์อีกชั้นหนึ่ง
วัดพระทอง อยู่ห่างจากตัวเมื อง 21 กม.ไปตามถนนเทพกระษัตรีผ่านสี่แยกอำเภอถลาง ถึงที่ว่าการอำเภอ ทางด้านขวาจะมีทางแยกเข้าวัดพระทอง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำที่โผล่เพียงพระเกตุมาลาขึ้นมาจากพื้นดิน โดยมีตำนานเล่าว่าเดิมบริเวณที่ตั้งวัดนี้เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ มีเด็กเลี้ยงควายนำเชือกล่ามควายไปผูกกับหลักที่โผล่มาจากพื้นดิน โดยไม่ทราบว่าหลักที่โผล่มานั้นคือพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป หลังจากนั้นเด็กก็ล้มเจ็บและตายลงในที่สุด พ่อของเด็กฝันว่าที่เด็กตายเพราะนำเชือกล่ามควายไปผูกกับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป จึงชักชวนชาวบ้านช่วยกันขุดหาก็พบจริงแต่ไม่สามารถขุดขึ้นมาได้ ต่อมาในสมัยพระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่ายกพลมาตีเมืองถลาง เมื่อ พ.ศ. 2328 ทหารพม่าก็พยายามขุดพระผุดเพื่อนำกลับพม่าแต่ไม่สำเร็จ กลับโดนฝูงแตนไล่ต่อย ต่อมาชาวบ้านจึงก่อพระพุทธรูปครึ่งองค์ครอบไว้ดังปรากฎอยู่ทุกวันนี้
สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาพระแทว ครอบคุมพื้นที่ 13,925 ไร่ หรือ 22.28 ตารางกิโลเมตร เป็นป่าดิบชื้นอุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด โดยเฉพาะมีการค้นพบพันธุ์ปาล์มที่หายากชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปาล์มเจ้าเมืองถลาง" หรือ "ปาล์มหลังขาว" และยังมีสัตว์ป่าอีกหลายชนิด อาทิ ชะนี ค่าง ลิง เก้ง กวาง หมี หมูป่า กระรอก กระจง นกนานาชนิด เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของภูเก็ตอีกด้วย ดังนั้นเขาพระแทว จึงเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมได้อย่างแท้จริง
น้ำตกโตนไทร จากสี่แยกอำเภอถลางแล้วเลี้ยวขวาไป 3 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกโตนไทร เป็นน้ำตกขนาดเล็กน้ำจะไหลแรงในช่วงฤดูฝน มีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน
น้ำตกบางแป ไปจากตัวเมืองถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร แล้วแล้วขวาไปทางตำบลป่าคลอก 7 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีส่วนรุกขชาติร่มรื่น และสถานอนุบาลชะนี ซึ่งเป็นโครงการเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของชะนีที่ถูกจับมาเลี้ยง ให้พร้อมที่จะกลับคืนสู่ป่าต่อไป
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติถลาง ไปจากตัวเมืองภูเก็ต แล้วเลี้ยวขวาบริเวณอนูสาวรีย์ ท้าวเทพกษัตรีท้าวศรีสุนทร เปิดให้เข้าชมเวลา 8.30 - 16.00 น. ทุกวันยกเว้นวันนักขัตฤกษ์ ค่าเข้าชมคนไทย 10 บาทต่างชาติ 30 บาทภายในมีการแสดงหลักฐานโบราณคดี อาทิโบราณวัตถุศิลปกรรมที่ค้นพบบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน นอกจากนี้ยังมีการจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ศึกถลาง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวภูเก็ต และชาวเลสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร(076) 311025 ,311426
ฟาร์มมุก ภูเก็ตมีฟาร์มมุกหลายแห่ง อาทิเกาะรังน้อย เกาะรังใหญ่ กาะนาคาน้อย เกาะนาคาใหญ่ อ่าวยนต์ แหลมพันวา มุกที่เลี้ยงมีทั้งมุกซีกที่ขายในประเทศ และมุกกลมที่ขายในต่างประเทศ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจฟาร์มมุก บนเกาะนาคาน้อยและเกาะนาคาใหญ่ สามารถติดต่อเช่าเรือ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ได้ที่อ่าวปอ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต ประมาณ 26 กิโลเมตรเลี้ยวขวาจากอนุสาวรีย์ ท้าวเทพกษัตรีท้าวศรีสุนทร
เกาะนาคา เป็นเกาะที่อยู่ห่างจากอ่าวปอซึ่งเป็นอ่าวที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ นั่งเรือออกไปอีกประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นเกาะที่มีธรรมชาติที่สวยงาม และเป็นสถานที่ที่มีการทำฟาร์มเลี้ยงมุกที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดภูเก็ต

อุทยานแห่งชาติสิรินาถ (หาดในยาง) ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2524 อยู่ห่างจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร ตามเส้นทางถนนเทพกระษัตรี ผ่านสี่แยกอำเภอถลาง ตรงไปเมื่อถึงหลักกิโลเมตร 21 - 22 จะมีทางแยกด้านซ้ายเข้าไป 10 กิโลเมตร หรือจะไปทางแยกเข้าสนามบินเลี้ยวซ้าย 2 กิโลเมตรครอบคลุมเนื้อที่ 90 ตารางกิโลเมตร หรือ 56,250 ไร่ เป็นหาดทรายที่มีความยาวต่อเนื่องกันถึง 13 กม. โดยเริ่มจาก หาดในทอน ไปตามเส้นทางไปอุทยานแห่งชาติเลี้ยวซ้ายที่หลักกิโลเมตร 21-22 เมื่อถึงทางแยกเข้าบ้านสาคู เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงหาดในทอน
หาดในทอน เป็นเวิ้งอ่าวที่งามแปลกตากทอดโค้งจากตัวเกาะเป็นที่กำบังคลื่นลมได้อย่างดี และเป็นหาดที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการเล่นน้ำ

หาดไม้ขาว ไปตามเส้นทางถนนเทพกระษัตรีผ่านทางแขกเข้าสนามบิน ตรงไปทางสะพานสารสินจะมีทางแยกด้านซ้ายมือมีป้ายบอกทางเข้า หาดไม้ขาวเลี้ยวซ้ายไป 3.5 กิโลเมตร ก็จะถึงหาดไม้ขาว ซึ่งเป็นหาดที่มีจั๊กจั่นทะเลและเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ แต่ปัจจุบันจำนวนลดลงมากเช่นเดียวกับหาดในยาง
หาดทรายแก้ว เป็นหาดทรายขาวทอดยาวขนานกับทิวต้นสน อยู่ถัดจากหาดไม้ขาวไปจนถึงสะพานสารสินนับเป็นหาดที่อยู่เหนือสุดของเกาะภูเก็ต
วัดพระนางสร้าง อยู่ห่างจากตัวเมือง 20 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางถนนเทพกระษัตรี ถึงสี่แยกอำเภอถลาง ตั้งอยู่ทางด้านซ้าย เป็นวัดที่เก่าแก่และเป็นแหล่งประวัติศาสตร์เมืองถลางที่สำคัญแห่งหนึ่ง เพราะเคยเป็นค่ายสู้รบกับพม่าเมื่อปี พ.ศ. 2328 นอกจากนี้ภายไปอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดีบุก ที่ เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก 3 องค์ เรียกว่า "พระในพุง" หรือ "พระสามกษัตริย์" ซึ่งอยู่ในพระอุทรของพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ 3 องค์อีกชั้นหนึ่ง

สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาพระแทว ครอบคุมพื้นที่ 13,925 ไร่ หรือ 22.28 ตารางกิโลเมตร เป็นป่าดิบชื้นอุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด โดยเฉพาะมีการค้นพบพันธุ์ปาล์มที่หายากชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปาล์มเจ้าเมืองถลาง" หรือ "ปาล์มหลังขาว" และยังมีสัตว์ป่าอีกหลายชนิด อาทิ ชะนี ค่าง ลิง เก้ง กวาง หมี หมูป่า กระรอก กระจง นกนานาชนิด เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของภูเก็ตอีกด้วย ดังนั้นเขาพระแทว จึงเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมได้อย่างแท้จริง
น้ำตกโตนไทร จากสี่แยกอำเภอถลางแล้วเลี้ยวขวาไป 3 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกโตนไทร เป็นน้ำตกขนาดเล็กน้ำจะไหลแรงในช่วงฤดูฝน มีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน
น้ำตกบางแป ไปจากตัวเมืองถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร แล้วแล้วขวาไปทางตำบลป่าคลอก 7 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีส่วนรุกขชาติร่มรื่น และสถานอนุบาลชะนี ซึ่งเป็นโครงการเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของชะนีที่ถูกจับมาเลี้ยง ให้พร้อมที่จะกลับคืนสู่ป่าต่อไป
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติถลาง ไปจากตัวเมืองภูเก็ต แล้วเลี้ยวขวาบริเวณอนูสาวรีย์ ท้าวเทพกษัตรีท้าวศรีสุนทร เปิดให้เข้าชมเวลา 8.30 - 16.00 น. ทุกวันยกเว้นวันนักขัตฤกษ์ ค่าเข้าชมคนไทย 10 บาทต่างชาติ 30 บาทภายในมีการแสดงหลักฐานโบราณคดี อาทิโบราณวัตถุศิลปกรรมที่ค้นพบบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน นอกจากนี้ยังมีการจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ศึกถลาง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวภูเก็ต และชาวเลสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร(076) 311025 ,311426
ฟาร์มมุก ภูเก็ตมีฟาร์มมุกหลายแห่ง อาทิเกาะรังน้อย เกาะรังใหญ่ กาะนาคาน้อย เกาะนาคาใหญ่ อ่าวยนต์ แหลมพันวา มุกที่เลี้ยงมีทั้งมุกซีกที่ขายในประเทศ และมุกกลมที่ขายในต่างประเทศ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจฟาร์มมุก บนเกาะนาคาน้อยและเกาะนาคาใหญ่ สามารถติดต่อเช่าเรือ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ได้ที่อ่าวปอ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต ประมาณ 26 กิโลเมตรเลี้ยวขวาจากอนุสาวรีย์ ท้าวเทพกษัตรีท้าวศรีสุนทร
เกาะนาคา เป็นเกาะที่อยู่ห่างจากอ่าวปอซึ่งเป็นอ่าวที่อยู่ทางตอนเหนือของเกาะ นั่งเรือออกไปอีกประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นเกาะที่มีธรรมชาติที่สวยงาม และเป็นสถานที่ที่มีการทำฟาร์มเลี้ยงมุกที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดภูเก็ต
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554
วัฒนธรรมไทย
ที่มาของวัฒนธรรมไทย
ความสำคัญของวัฒนธรรม
วัฒนธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในความเป็นชาติ ชาติใดที่ไร้เสียซึ่งวัฒนธรรมอันเป็นของตนเองแล้ว ชาตินั้นจะคงความเป็นชาติอยู่ไม่ได้ ชาติที่ไร้วัฒนธรรม แม้จะเป็นผู้พิชิตในการสงคราม แต่ในที่สุดก็จะเป็นผู้ถูกพิชิตในด้านวัฒนธรรม ซึ่งนับว่าเป็นการถูกพิชิตอย่างราบคาบและสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะผู้ที่ถูกพิชิตในทางวัฒนธรรมนั้นจะไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ถูกพิชิต เช่น พวกตาดที่พิชิตจีนได้ และตั้งราชวงศ์หงวนขึ้นปกครองจีน แต่ในที่สุดถูกชาวจีนซึ่งมีวัฒนธรรมสูงกว่ากลืนจนเป็นชาวจีนไปหมดสิ้น
หน้าที่ของวัฒนธรรม
วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดรูปแบบของสถาบัน ซึ่งมีลักษณะแตกต่าง กันไปในแต่ละสังคม เช่น วัฒนธรรมอิสลามอนุญาตให้ชาย (ที่มีความสามารถเลี้ยงดูและ ให้ความ ยุติธรรมแก่ภรรยา) มีภรรยาได้มากกว่า 1 คน โดยไม่เกิด 4 คน แต่ห้ามสมสู่ ระหว่าง เพศเดียว กัน อย่างเด็ดขาด ในขณะที่ศาสนาอื่นอนุญาตให้ชายมีภรรยาได้เพียง 1 คน แต่ไม่มีบัญญัติห้าม ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ฉะนั้นรูปแบบของสถาบันครอบครัวจึงอาจแตกต่างกันไป
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของคน จะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของกลุ่มสังคมนั้น ๆ เช่น วัฒนธรรมในการพบปะทักทายของ ไทย ใช้ในการสวัสดีของชาวตะวันตกทั่วไปใช้ในการสัมผัสมือ ของชาวทิเบตใช้การแลบลิ้น ของชาว มุสลิมใช้การกล่าวสลาม เป็นต้น
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควบคุมสังคม สร้างความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ให้แก่สังคม เพราะในวัฒนธรรมจะมีทั้งความศรัทธา ความเชื่อ ค่านิยม บรรทัดฐาน เป็นต้น ตลอดจน ผลตอบแทนในการปฏิบัติและบทลงโทษเมื่อฝ่าฝืน
ประเพณีไทย อารยธรรมไทย
ประเพณีไทยอันดีงามที่สืบทอดต่อกันมานั้น ล้วนแตกต่างกันไปตามความเชื่อ ความผูกพันของผู้คนต่อพุทธศาสนา
และการดำรงชีวิตที่สอดประสานกับฤดูกาลและธรรมชาติอย่างชาญฉลาดของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่นทั่วแผ่นดินไทย เช่น
ภาคเหนือ ประเพณีบวชลูกแก้วของคนไตหรือชาวไทยใหญ่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ภาคอีสาน ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวจังหวัดยโสธร
ภาคกลาง ประเพณีทำขวัญข้าวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ภาคใต้ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น นอกจากนี้
ประเพณีและอารยธรรมไทยยังนำมาซึ่งการท่องเทียว เป็นที่รู้จักและประทับใจแก่ชาติอื่น นับเป็นมรดกอันลำค่าที่เรา ... คนไทยควรอนุรักษ์และสืบสานให้ยิ่งใหญ่ตลอดไป
เรื่องน่ารู้ประเพณีและวัฒนธรรมไทย มกราคม ฤดูเก็บเกี่ยว
เดือนยี่เมื่อการเก็บเกี่ยวข้าวในนาเเละนวดข้าวเสร็จสิ้นลง เกษตรกรชาวนาซึ่งทำงานหนัก เพราะต้องทำงานตรากตรำ กลางเเดดฝนอยู่ในโคลนตมเป็นเวลานานๆ เมื่อไถหว่านปักดำ จนต้นข้าวงอกงามเติบโตเเละออกรวง ได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่ลงเเรงไว้ เมื่อนวดข้าวเเละเก็บข้าวขึ้นใส่ยุ้งฉางเรียบร้อยเเล้ว เสร็จสิ้น การทำงานอีกครั้งหนึ่ง ก็ร่วมกันทำบุญให้ทานเพื่อความเป็นสิริมงคล เเก่ตนเอง ครอบครัวเเละหมู่บ้าน

กุมภาพันธ์ เดือนมาฆะ
"มาฆะ" เเปลว่า เดือน ๓ ทางจันทรคติเรียกว่า มาฆมาส หรือ มาฆบูชาจาตุรงคสันนิบาต วันมาฆบูชากำหนดตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ ของทุกๆปี พระราชพิธีกุศลวันมาฆบูชานี้ เกิดเมื่อครั้งรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชดำริว่า วันเพ็ญกลางเดือน ๓ เป็นวันพระจันทร์เสวยมาฆฟกษ์ มีเหตุการณ์สำคัญยิ่ง จึงได้พระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดทำพิธีมาฆบูชาขึ้น

มีนาคม วันตรุษสิ้นปี
พิธีทำบุญวันตรุษเดือน ๔ หรือประเพณีการทำบุญวันตรุษสิ้นปี เริ่มตั้งเเต่วันเเรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ไปจนถึง วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ รวม ๓ วัน ตรุษนี้บอกกำหนดสิ้นปี มีการทำบุญให้ทาน เพื่อระลึกถึงสังขารที่ล่วงมา ด้วยดีอีกปีเเล้ว มีการยิงปืนใหญ่ จุดประทัด ดอกไม้ไฟ ตีกลอง เคาะระฆัง เพื่อขับไล่ สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ออกจากเมือง ชาวบ้านต่างก็ทำความสะอาด เคหะสถาน เพื่อเตรียมตัวรับปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึง

เมษายน รดน้ำวันสงกรานต์
ในวันเเละเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เฉพาะในเดือน ๕ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ เพราะถือว่าเป็นวัน เเละ เวลาตั้งต้นปีใหม่คือ วันที่ ๑๓ เป็นวันต้น คือวันสงกรานต์ วันที่ ๑๔ วันกลาง คือวันเนา เเละ วันที่ ๑๕ วันสุดท้าย คือวันเถลิงศก วันสงกรานต์ เป็นประเพณีที่ผู้คนมีความ สนุกสนานกัน หลังงานเก็บเกี่ยวว่างเว้นจากการทำไร่ทำนา เป็นเวลาที่ ชาวเกษตรกร ได้พักผ่อน เวลาที่จะหาความสนุกใส่ตน ก่อนที่เวลา ที่จะต้องไปทำการเพาะปลูก อีกครั้ง ผู้คนสาดน้ำใส่กัน ซึ่งหมายถึงอวยพร ให้เเก่กัน เเละขอให้โชคดี ในปีใหม่ที่จะย่างกลายเข้ามา

พฤษภาคม วิสาขบูชา
"วิสาขะ" เเปลว่า เดือนที่ ๖ หรือ เรียกว่า "วิสาขมาส" ในรัชกาลที่สอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรงโปรดเกล้าให้ทำพิธี ถวายพระพร เนื่องในวันวิสาขบูชา เป็นครั้งเเรกเมื่อ พศ 2360 (ในราชวงศ์รัตน์โกสินทร์ตอนต้น), ซึ่งเป็นประเพณีนิยมของชาวไทย มาครั้งตั้งเเต่ในสมัยกรุงสุโขทัย ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ นี้ ชาวบ้านร่วมกันประดับตกเเต่งบ้านเรือน เเละ วัดวาอาราม ด้วยโคมไฟ พู่กลิ่น พวงดอกไม้สด พวงดอกไม้เเห้ง เเละจุดเทียนสว่างไสว

มิถุนายน หล่อเทียนพรรษา
ก่อนเข้าพรรษา ๑ เดือน ประมาณเดือน ๗ ชาวบ้านจัดการเรี่ยไรขึ้ผึ้ง เเละ ร่วมกันทำพิธีหล่อเทียน เเละ เเกะสลัก ปิดทองอย่างสวยงาม เเห่ขบวน เทียนประกวดเเข่งขันกันสนุกสนาน ในสมัยหรุงัตนโกสินทร์ มีพระราชพิธี ถวายเทียนพรรษาไปตามพระอารามหลวงที่สำคัญๆ ซึ่งได้ปฏิบัติสืบทอด มาจนปัจจุบัน เเละ เนื่องจากเป็นเดือนที่มีผลไม้ต่างๆ ออกผลบริบูรณ์มาก จึงจัดให้มีงานบุญสลากภัต ไปถึงวันเข้าพรรษา

กรกฎาคม เข้าพรรษา
พรรษา เเปลว่า ฝน หรือ ฤดูฝน ฤดูเข้าพรรษาเริ่มต้นเเต่วันเเรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ราวกลางเดือนกรกฎาคมของทุกๆปี จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ รวมเป็นเวลา ๓ เดือน เรียกว่า ไตรมาส ตลอดเวลาเข้าพรรษานี้ ชาวบ้าน ตั้งใจละเว้นอบายมุขทั้งปวง ทำจิตใจให้ผ่องเเผ้ว เยือกเย็น เป็นการสร้าง กุศล ซึ่งพระราชพิธีกุศล เข้าพรรษาถือ เป็นพระราชพิธีเเห่งราชสำนัก มาตั้งเเต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สืบเนื่องมาจนปัจจุบัน

สิงหาคม โกนจุก
"โกนจุก" เป็นประเพณีไทยเเต่โบราณ เมื่อเด็กอายุครบเดือนได้ทำขวัญเดือน เเละโกนผมไฟ เมื่อผมมีผมขึ้นใหม่ก็จะเอารัดจุกไว้ตรงกลางศรีษะ ทำทั้งเด็กหญิงเเละชาย, ซึ่งมีความหมายว่าเด็กที่มีผมจุกนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ก็จะได้รับความเมตตากรุณาตามสภาวะที่เป็นเด็ก เมื่อเด็กผู้หญิงอายุได้ ๑๑ ปี เเละ เด็กผู้ชาย ๑๓ ปี บิดามารดาก็จะจัดงาน เเละตัดผมจุกออก หรือ ปล่อยผมลงมา เรียกว่า พิธีโกนจุก ซึ่งหมายความ ว่า เด็กนั้นได้เติบโตย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เเล้ว

กันยายน สารท
"สารท" เเปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง ประเพณีทำบุญในวันสารทนี้ กำหนดตรงสิ้นเดือน ๑๐ ชาวบ้านจะนำโภชนาหาร ทานวัตถุในพิธี เช่น ข้าวมทุปายาท ข้าวยาคู ข้าวทิพย์ กระยาสารท เเละ กล้วยไข่ ซึ่งพอดีเป็นหน้ากล้วยไข่สุก ไปตักบาตรธารณะ เสร็จเเล้วก็จะเเจกจ่าย ให้ปันกระยาสารทที่เหลือเเก่เพื่อนบ้าน พิธีสารทเป็นระยะที่ต้นข้าวออกรวง เป็นน้ำนม จึงจัดทำพิธีขึ้นเพือเป็นการรับขวัญรวงข้าว เเละ เป็นฤกษสิริมงคล เเก่ต้นข้าวในนาอีกด้วย
ข้าวมทุปายาท ซึ่งทำจากข้าวที่เป็นน้ำนมข้างใน ซึ่งจำได้จากการเรียนวิชา ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเสวยข้าวมทุปายาท ก่อนที่จะตรัสรู้

ตุลาคม เทศกาลทอดกระฐิน
ประเพณีทอดกระฐินนี้ได้ถือปฏิบัติมาตั้งเเต่สมัยกรุงสุโขทัย เเละสืบทอด มาถึงปัจจุบัน ระยะเวลาที่ให้มีการทอดกระฐิน คือ ตั้งเเต่วันเเรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ เทศกาลทอดกระฐินเป็นงานรื่นเริง ของชาวบ้านในโอกาสที่จะได้ทำบุญควบคู่ไปกับความสนุกสนาน ด้วยเป็นระยะที่หว่าน เเละ ดำข้าวเเล้ว อีกไม่ช้าก็จะเก็บได้ จึงเป็นช่วงที่ จะได้พักผ่อนก่อนงานเก็บเกี่ยว การเลือกไปทอดกระฐินที่ต่างถิ่น เพือเป็นการท่องเที่ยว เยี่ยมเยียน เเละ เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย ซึ่งเปิดโอกาศให้ผู้เข้าร่วมได้ ไปเปิดหูเปิดตา ได้เรียนรู้จักคนใหม่ๆ เเละ ได้เที่ยวในสถานที่อื่นด้วย

พฤศจิกายน ลอยกระทง
ลอยกระทง คือวันเพ็ญเดือน ๑๒ ฤดูน้ำหลาก อากาศปลอดโปร่งเเจ่มใส ด้วยหมดฤดูฝนเเล้ว ชาวบ้านได้ประดิษฐ์ประดอยกระทงด้วยใบตอง ตกเเต่งด้วยดอกไม้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ผู้คนก็เเต่งกายสวยงาม เเละนำกระทงออกไปด้วย จุดธูปเทียนในกระทงสว่างสวยงาม ลอยไปตามลำน้ำอย่างสวยงาม เพื่อเป็นการขอขมาต่อพระเเม่คงคา จุดประสงค์ของประเพณีลอยกระทงก็คือ เปิดโอกาศให้ประชาชนได้นึกถึง พระคุณของน้ำ เเละขออภัย พระเเม่คงคาที่ตนได้ใช้น้ำมาตลอด ในการดำรงชีพของตน ในช่วงนี้เป็นช่วงที่อุดมสมบูรณ์ หน้าข้าว หน้าปลา จะเห็นผู้คนส่วนใหญ่พูดกันว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว หรือ มีข้าวในนา มีปลาในหนอง ชาวบ้านควรจะทำบุญให้ทาน เเละพักผ่อน สนุกสนาน กันเสียทีหนึ่ง

ธันวาคม ตรุษ เลี้ยง ขนมเบื้อง
ขนมเบื้อง คืออาหารชนิดหนึ่งที่มีใส่ใส้ด้วยกุ้ง พิธีเลี้ยงขนมเบื้อง เดือนอ้าย นับเป็นตรุษอย่างหนึ่ง เฉพาะต้องเป็น หน้าหนาว ตรุษเลี้ยงขนมเบื้องจะต้องเป็นฤดูหนาว เป็น เวลา ที่น้ำลดมีกุ้งชุกชุม เเละ ยังเป็นฤดูที่กุ้งมีมันมากน่า จะทำขนมเบื้องไส้กุ้ง เเต่ก่อนนั้น การละเลงขนมเบื้องนี้นับเป็นคุณสมบัติที่ได้รับความนิยมชมเชยด้วย อย่างหนึ่งของหญิงสาวในความสามารถ ถึงในสมัย รัชกาลที่ ๔ ยังถือกันว่าหญิงใดละเลงขนมเบื้องได้ จีบขนมจีบได้ ปอกมะปรางริ้วได้ จีบใบพลูได้ยาว คนนั้นมีค่าถึง ๑๐ ชั่ง ในสมัยนั้น ๑๐ ชั่ง = 800 บาท, ซึ่งหมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นมีคุญสมบัติที่ดี

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554
7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก2010
1.ชิเชน อิตซา คาบสมุทรยูคาตาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของเนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย
2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี
3.มาชู ปิกชู ประเทศเปรู
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454
4.กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529
5.เปตรา ประเทศจอร์แดน
เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
6.ทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน
7.สนามกีฬาโคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี
สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม
ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของเนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย

รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454

กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529

เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้

ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน

สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)